• ภาษาแม่ และภาษาโลก
• ศิลปะ
• คณิตศาสตร์
• เศรษฐศาสตร์
• วิทยาศาสตร์
• ภูมิศาสตร์
• ประวัติศาสตร์
• รัฐ และความเป็นพลเมืองดี
หัวข้อสำหรับศตวรรษที่ ๒๑
• ความรู้เกี่ยวกับโลก
• ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ
• ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองดี
• ความรู้ด้านสุขภาพ
• ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม
ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม
ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี
ทักษะชีวิตและอาชีพ
ศาสตราใหม่สำหรับครูเพื่อศิษย์
3R - Reading (อ่านออก)
- (W)Riting (เขียนได้)
- (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)
7C - Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแกปัญหา)
- Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
- Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
- Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
- Communications, information & media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทัน สื่อ)
- Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
- Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
พัฒนาสมองห้าด้าน
1. สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind)
2. สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind)
3. สมองด้านสร้างสรรค์ (creating mind) คิดนอกกรอบ
4. สมองด้านเคารพให้เกียรติ (respectful mind)
5. สมองด้านจริยธรรม (ethical mind)
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม
การเรียนรู้ทักษะในการเรียนรู้
- การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) และการแก้ปัญหา(problem solving)
- การสื่อสาร (communication) และความร่วมมือ (collaboration)
- ความริเริ่มสร้างสรรค์ (creativity) และนวัตกรรม (innovation)
ขั้นตอนการเรียนรู้
- จำได้ (remember)
- เข้าใจ (understand)
- ประยุกต์ใช้ (apply)
- วิเคราะห์ (analyze)
- ประเมิน(evaluate)
- สร้างสรรค์ (create)
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
- การเรียนแบบ PBL
- เน้นการตั้งคำถามมากกว่าการหาคำตอบ
- ต้องเรียนเองโดยการฝึกฝน
ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
ทักษะด้านสารสนเทศ - ทักษะในการเข้าถึง
- ทักษะในการประเมินความน่าเชื่อถือ
- ทักษะในการใช้อย่างสร้างสรรค์
- เข้าถึงสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะด้านสื่อ - ด้านรับสารจากสื่อ
- ด้านสื่อสารออกไปยังสาธารณะ
ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร - ใช้เทคโนโลยีเพื่อวิจัย
- ใช้เครื่องมือสื่อสาร
- ปฏิบัติตามคุณธรรมและกฎหมาย
ทักษะด้านความเป็นนานาชาติ
- การเรียนแบบ PBL
- ครูต้องศึกษาวัฒนธรรมต่างประเทศ
ทักษะอาชีพและทักษะชีวิต
- ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
- การมีผลงานและความรับผิดชอบ ตรวจสอบได้
แนวคิดการเรียนรู้สำหรับครูเพื่อศิษย์
สมดุลใหม่ในการทำหน้าที่ครูเพื่อศิษย์
ขึ้นกับครู/ครูเป็นตัวตั้ง(Teacher-directed) เด็กเป็นหลัก(Leamer-centered)
สอน แลกเปลี่ยนเรียนรู้
ความรู้ ทักษะ
เนื้อหา กระบวนการ
ทักษะพื้นฐาน ทักษะประยุกต์
ข้อความจริงและหลักการ คำถามและปัญหา
ทฤษฎี ปฏิบัติ
หลักสูตร โครงการ
ช่วงเวลา ตามความต้องการ
เหมือนกันทั้งห้อง (One-size-fits-all) เหมาะสมรายบุคคล (Personalized)
แข่งขัน ร่วมมือ
ห้องเรียน ชุมชนทั่วโลก
ตามตำรา ใช้เว็บ
สอบความรู้ ทดสอบการเรียนรู้
เรียนเพื่อโรงเรียน เรียนเพื่อชีวิต
สอนน้อย เรียนมาก
-PLC - professional learning communities คือ กระบวนการสร้างครูเพื่อศิษย์
-สอนน้อย คือ สอนเท่าที่จำเป็น ครูต้องรู้ว่าตรงไหนควรสอน ตรงไหนไม่ควรสอนเพราะเด็กเรียนได้เอง
การเรียนรู้และการสอน
- ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกเป็นนักตั้งคำถาม
- เรียนวิชา STEM คือ Science, Technology, Engineering และ Mathematics
การเรียนรู้อย่างมีพลัง
- จักรยานแห่งการเรียนรู้
- เครือข่ายเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์
- Plan คือ การวางแผนการทำงานในโครงการ
- นักเรียนต้องได้เรียนแบบ PBL (Project-Based Learning)
- นักเรียนจะเรียนได้ดีหากได้รับการสอนเรื่อง how to learn และ what to learn
- การเรียนกลุ่มย่อยแบบร่วมมือกัน (Collaborative Small-Group Learning)
ครูเพื่อศิษย์ชี้ทางแห่งหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า
- ครูเป็นผู้ชี้แนะแนวทาง
- จัดระดมความคิด
- จัดสถานการจำลอง
จิตวิทยาการเรียนรู้สำหรับครูเพื่อศิษย์
สมดุลระหว่างความง่ายกับความยาก
ความจริงเกี่ยวกับการคิด ๓ ประการ ที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อเดิมได้แก่
1. การคิดทำได้ช้า
2. การคิดนั้นยาก ต้องใช้ความพยายามมาก
3. ผลของการคิดนั้นไม่แน่ว่าจะถูกต้อง
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องคือ “ความจำใช้งาน” (working memory) กับ
“ความจำระยะยาว” (longterm memory)
ความคิดกับความรู้เกื้อกูลกัน
- หน้าที่สำคัญที่สุดของครูคือ การสร้างแรงบันดาลใจใคร่เรียนรู้ หรือจุดไฟของความใคร่เรียนรู้ขึ้นในใจหรือในสมองเด็ก
- ออกแบบการเรียน ให้เด็กได้ฝึกการคิดกับการจำไปพร้อม ๆ กัน
เพราะคิดจึงจำ
- ผู้เรียนซึมซับเข้าไปไว้ในความจำ
ครูที่เก่งมีคุณลักษณะสำคัญ 2 ด้าน
1. รักเอาใจใส่เด็ก
2. สามารถออกแบบการเรียนรู้ ให้น่าสนใจและเข้าใจง่าย
ความเข้าใจคือความจำจำแลง สู่การฝึกตนฝนปัญญา
การฝึกทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ทักษะพื้นฐานทางการเขียน มีประโยชน์ ดังนี้
1. ได้ทักษะคิดลึก และได้ความรู้ที่ลึก
2. ป้องกันการลืม
3. ช่วยการนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ (transfer)
การฝึกฝนมีเป้าหมาย 2 ระดับ
- ระดับแรก คือ ให้พอทำเป็น (minimum competence)
- ระดับที่ 2 คือ ให้ชำนาญ (proficiency)
ฝึกฝนจนเหมือนตัวจริง
คนหัดใหม่มีวิธีทำให้ตนเองคิดแบบผู้เชี่ยวชาญด้วย 4 กลไก ได้แก่
1. เพิ่มต้นทุนความรู้ (background knowledge หรือ longterm memory) และจัดระบบไว้อย่างดี ให้พร้อมใช้ (เรียกว่า functional knowledge) ดึงเอาไปใช้ตรงตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
2. ฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถใช้พื้นที่ความจำใช้งานที่มีจำกัดในการคิดได้มากและซับซ้อนขึ้น
3. ฝึกคิดแบบลึก (deep structure) หรือแบบ functional หรือคิดตีความหาความหมาย (meaning) ไม่ใช่คิดแบบตื้น (surface structure) ตามที่ตาเห็น
4. คุยกับตัวเองว่า กำลังขบปัญหาอะไรอยู่ ในลักษณะของการมองแบบนามธรรม หรือแบบสรุปรวบยอด (generalization) และตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับการแก้ปัญหานั้นไปในตัว
สอนให้เหมาะต่อความแตกต่างของศิษย์
นักเรียนมีความแตกต่าง 3 แนว ได้แก่
1. ความสามารถทั่วไปในการเรียนรู้ อาจเรียกว่าเด็กฉลาด เด็กหัวไวเด็กหัวช้า
2. รูปแบบการเรียน ตามทฤษฎีมีผู้เรียนแบบเน้นจักษุประสาท แบบเน้นโสตประสาท และแบบเน้นการเคลื่อนไหว (Visual, Auditory, and Kinesthetic Learners Theory)
3. ความฉลาด 8 ด้าน ตามทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences)
ช่วยศิษย์ที่เรียนอ่อน
- การให้คำชม
- จงอย่าชมความสามารถ ให้ชมความมานะพยายาม เพื่อทำให้สิ่งที่มีคุณค่าคือ ความมานะพยายาม คือความสำเร็จที่ได้มาจากความบากบั่นเอาชนะอุปสรรค
- จงอย่าชื่นชมความสำเร็จที่ได้มาโดยง่าย
- จงชื่นชมพรแสวงของศิษย์ให้มากกว่าพรสวรรค์
ฝึกฝนตนเอง
ครูที่ดีต้องเรียนรู้เคี่ยวกรำฝึกฝนตนเองตลอดชีวิตการเป็นครู และเรียนรู้จากการปฏิบัติหน้าที่ครู ด้วยหลัก 3 ประการคือ
(1) มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะพัฒนาการทำหน้าที่ครู
(2) หาผลลัพธ์ที่สะท้อนกลับมา (feedback) เพื่อทบทวนไตร่ตรอง (reflection) การจัดการเรียนรู้ของตนเอง อันจะนำไปสู่การปรับปรุงการทำหน้าที่ครูอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
(3) ลงมือปรับปรุงตนเอง
เปลี่ยนมุมความเชื่อเดิมเรื่องการเรียนรู้
บันเทิงชีวิตครูสู่ชุมชนการเรียนรู้131
กำเนิดอานิสงฆ์ของ PLC
การศึกษาต้องเปลี่ยนจากเน้นการสอน (ของครู) มาเป็นเน้นการเรียน (ของนักเรียน)
ครูเปลี่ยนจากการบอกเนื้อหาสาระ มาเป็นทำหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจ
PLC คือเครื่องมือที่จะช่วยนำไปสู่การตั้งโจทย์และทำ “วิจัยในชั้นเรียน”
หักดิบความคิด
PLC เป็นกิจกรรมที่ซับซ้อน (complex) มีหลากหลายองค์ประกอบจึงต้องนิยามจากหลายมุม โดยมีแง่มุมที่สำคัญต่อไปนี้
- เน้นที่การเรียนรู้
- มีวัฒนธรรมร่วมมือกันเพื่อการเรียนรู้ของทุกคน ทุกฝ่าย
- ร่วมกันตั้งคำถามต่อวิธีการที่ดี และตั้งคำถามต่อสภาพปัจจุบัน
- เน้นการลงมือทำ
- มุ่งพัฒนาต่อเนื่อง
- เน้นที่ผล (หมายถึง ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ของศิษย์)
ความมุ่งมั่นที่ชัดเจนและทรงคุณค่า
บัญญัติ 7 ประการ ให้หาทางดำเนินการเพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลง
1. หาทางจัดโครงสร้างและระบบเพื่อหนุนการเดินทางหรือขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
2. สร้างกระบวนการวัดเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว และทำความเข้าใจเรื่องสำคัญ
3. เปลี่ยนแปลงทรัพยากรเพื่อสนับสนุนสิ่งสำคัญ
4. ถามคำถามที่ถูกต้อง
5. ทำตัวเป็นตัวอย่างในเรื่องที่มีคุณค่า
6. เฉลิมฉลองความก้าวหน้า
7. เผชิญหน้ากับผู้ต่อต้านเป้าหมายร่วมของคณะครู
ระบบช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนอ่อนนี้มีลักษณะเป็นไปตามตัวย่อว่า SPEED
- Systematic (ทำเป็นระบบ) หมายถึง มีการดำเนินการเป็นระบบทั้งโรงเรียน ไม่ใช่เป็นภาระของครูประจำชั้นแต่ละคน และมีการสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษร (ใคร ทำไม อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร) ไปยังทุกคน ได้แก่ ครู (ทีมของโรงเรียน) พ่อแม่ และนักเรียน
- Practical (ทำอย่างเหมาะสม) การดำเนินการช่วยเหลือเป็นไปได้ตามทรัพยากรที่มีอยู่ของโรงเรียน (เวลา พื้นที่ ครู และวัสดุ) และดำเนินการได้ต่อเนื่องยั่งยืน ทั้งนี้ ไม่ต้องการทรัพยากรใด ๆ เพิ่ม แต่ต้องมีการจัดการทรัพยากรเหล่านั้นแตกต่างไปจากเดิม นี่คือ โอกาสสร้างนวัตกรรมในการจัดการทรัพยากรของโรงเรียน
- Effective (ทำอย่างได้ผล) ระบบช่วยเหลือต้องใช้ได้ผลตั้งแต่เริ่มเปิดเทอม มีเกณฑ์เริ่มเข้าระบบและออกจากระบบที่ยืดหยุ่นเพื่อให้เหมาะสมสำหรับช่วยเหลือนักเรียนที่แตกต่างกัน และเพื่อสร้างการเรียนรู้ที่ได้ผลดีแก่นักเรียนทุกคน
- Essential (ทำส่วนที่จำเป็น) ระบบช่วยเหลือต้องทำแบบมุ่งเน้นที่ประเด็นเรียนรู้สำคัญตามผลลัพธ์ของการเรียนรู้ (Learning Outcome) ที่กำหนดโดยการทดสอบทั้งแบบประเมินเพื่อพัฒนา (formative assessment)และ แบบประเมินได้-ตก (summative assessment )
- Directive (ทำแบบบังคับ) ระบบช่วยเหลือต้องเป็นการบังคับ ไม่ใช่เปิดให้นักเรียนสมัครใจ ต้องดำเนินการในเวลาเรียนตามปกติ ครูหรือพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ขอยกเว้นให้แก่นักเรียนคนใด
เรื่องเล่าตามบริบท :จับความจากยอดครูมาฝากครูเพื่อศิษย์
เรื่องเล่าของครูฝรั่ง
-เตรียมทำการบ้านเพื่อการเป็นครู
-ให้ได้ความไว้วางใจจากศิษย์
-สอนศิษย์กับสอนหลักสูตร แตกต่างกัน
-ถ้อยคำที่ก้องอยู่ในหูเด็ก
-เตรียมตัว เตรียมตัว และเตรียมตัว
-จัดเอกสารและเตรียมตนเอง
-ทำสัปดาห์แรกให้เป็นสัปดาห์แห่งความประทับใจ
-เตรียมพร้อมรับ “การทดสอบครู” และสร้างความพึงใจแก่ศิษย์
-วินัยไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ
-สร้างนิสัยรักเรียน
-การอ่าน
-ศิราณีตอบปัญหาครูและนักเรียน
-ประหยัดเวลาและพลังงาน
-ยี่สิบปีจากนี้ไป
เรื่องเล่าโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
-วิธีการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑
-เคาะกระโหลกด้วยกะลา(AAR จากการเปิดรับ tacit และ explicit knowledgeจากโรงเรียนนอกกะลา)
-ความสำเร็จทางการศึกษา
เราควรตีค่าความสำเร็จทางการศึกษาจากสิ่งใด เป็นคำถามที่ทุกคนต้องใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้แน่ชัดว่าเป้าหมายนั้นไม่ได้เป็นไปเพียงเพื่อสนองความต้องการของผู้ใหญ่เท่านั้น หรือไม่ได้ทำไปเพื่อเด็กคนใดคนหนึ่งอย่างโดด ๆ เราต้องมองเป้าหมายที่เป็นความจำเป็นจริง ๆ ต่อเด็กและต่อโลกในอนาคตและยังต้องคำนึงถึงความเป็นองค์รวมของเป้าหมายทั้งหมดเพื่อให้แต่ละคนได้สมบูรณ์พร้อมตามศักยภาพแห่งตน ดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีคุณค่าและปีติสุข ที่
ผ่านมาความกระหายใคร่รู้ทำให้เราเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมมากขึ้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมเป็นความเชื่อใหญ่ของผู้คนให้เข้าใจว่า การศึกษาคือการสั่งสมความรู้ จึงส่งผลให้เราให้ความสำคัญกับการสอนความรู้ วัดผลจากความรู้ และ
ตีค่าความสำเร็จโดยนัยจากความรู้ ทั้งที่ทุกคนรู้ดีว่าแท้ที่จริงเราต้องการให้ผู้คนดีงาม อยู่กันอย่างสงบ สันติ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความสุข
เรื่องเล่าของโรงเรียนนอกกระลาบางส่วนจากบันทึกของ ครูใหญ่วิเชียร ไชยบังโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
-ความสำเร็จทางการศึกษา
-ความฉลาดทางด้านร่างกาย (Physical Quotient)
-ความฉลาดทางด้านสติปัญญา
-ทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร
เรื่องเล่าของโรงเรียนเพลินพัฒนาบางส่วนจาก ครูวิมลศรี ศุษิลวรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการจัดการเรียนรู้ โรงเรียนเพลินพัฒนา
-การยกคุณภาพชั้นเรียน ๑
-การยกคุณภาพชั้นเรียน ๒
-เรียนรู้จากจำนวน และ ตัวเลข
-การ “เผยตน” ของฟลุ๊ค
มองอนาคต ปฏิรูปการศึกษาไทย
แรงต้านที่อาจต้องเผชิญ
1. นโยบายการศึกษายังเป็นนโยบายสำหรับยุคอุตสาหกรรม เน้น mass education และเน้นประสิทธิภาพซึ่งเคยใช้ได้ผล แต่บัดนี้ตกยุคเสียแล้ว
2. ระบบตรวจสอบและระบบวัดผลแบบทดสอบตามมาตรฐาน (standardized testing systems) ที่เน้นวัดความสามารถด้านทักษะพื้นฐานเช่นการอ่าน การคิดเลข แต่ไม่วัดทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
3. แรงเฉื่อยหรือความคุ้นเคยกับระบบการสอนแบบครูบอกเนื้อหาวิชาให้นักเรียนจดจำ ที่ทำต่อ ๆ กันมาหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปี แม้จะมีครูจำนวนหนึ่งเปลี่ยนไปแล้ว คือเปลี่ยนไปทำหน้าที่ช่วยเหลือเด็กให้สร้างและประยุกต์ใช้ความรู้ผ่านการค้นพบ การสำรวจ และการเรียนจากโครงงาน (PBL - Project Based Learning)
4. ผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมพิมพ์จำหน่ายตำราเรียน
5. ความหวั่นกลัวว่าความรู้เชิงทฤษฎีจะถูกละเลย หันไปให้ความสำคัญต่อทักษะมากเกินไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความรู้ ๒ แนวนี้ต้องเกื้อกูล (synergy) ซึ่งกันและกัน
6. อิทธิพลของพ่อแม่ที่ยึดติดกับการเรียนแบบดั้งเดิมที่ตนเคยเรียนมาและทำให้ตนประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน จึงอยากให้ลูกหลานได้เรียนตามแบบที่ตนเคยเรียน สอบข้อสอบที่ตนเคยสอบ และรู้สึกไม่สบายใจที่โรงเรียนทดลองวิธีการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ตนไม่คุ้นเคย และอาจทำให้ลูกหลานของตนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา
1. ยกเลิกระบบการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งของครู (คศ.) ที่ใช้ในปัจจุบัน คือให้ “ทำผลงาน” ในกระดาษ และมีการติววิธีทำผลงาน เปลี่ยนมาเป็นเลื่อนตำแหน่งเมื่อผลสัมฤทธิ์ของลูกศิษย์ได้ผลดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการทดสอบระดับชาติ ๓ ปีติดต่อกัน จนได้ผลในระดับผ่านเกินร้อยละ๙๐ ของจำนวนเด็กนักเรียนทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า ต้องมีการทดสอบระดับชาติในทุกชั้น
2. มีเป้าหมายและยุทธศาสตร์เพิ่มผลสัมฤทธิ์ของศิษย์ทั้งโรงเรียน หรือทั้งเขตการศึกษา แล้วคณะครูและทุกฝ่ายช่วยกันดำเนินการ เน้นที่การมี PLC ระดับโรงเรียน ระดับเขตการศึกษา และระดับประเทศ เมื่อนักเรียนทั้งโรงเรียน หรือทั้งเขตการศึกษาสอบ National Education Test (NET) ผ่านเกินร้อยละ ๙๐ ก็ได้รับรางวัลทั่วทั้งโรงเรียน หรือทั่วทั้งเขตการศึกษา
3. ปราบปรามคอรัปชั่นเรียกเงินในการบรรจุหรือโยกย้ายครู นี่เป็นความชั่ว ที่บ่อนทำลายระบบการศึกษาไทย ต้องมีมาตรการตรวจจับและลงโทษรุนแรง
4. แบ่งเงินลงทุนเพิ่มด้านการศึกษา ครึ่งหนึ่งไปไว้สนับสนุนการเรียนรู้ของครูประจำการในลักษณะการเรียนรู้ในการทำหน้าที่ครู ที่เรียกว่า PLC (Professional Learning Community) ซึ่งเน้นที่การเรียนรู้ (learning) ของครู ไม่ใช่เน้นที่ การฝึกอบรม (training) และเน้นการเรียนรู้เป็นกลุ่มเพื่อให้ครูจับกลุ่มช่วยเหลือกัน
5. จัดงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประจำปี ด้านการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
6. ยกระดับข้อสอบ National Education Test (NET) ให้ทดสอบการคิดที่ซับซ้อน (complex thinking) และทักษะที่ซับซ้อน (complex skills) ตามแนวทางทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
7. ส่งเสริมการเรียนแบบ Project-Based Learning (PBL) โดยส่งเสริมให้มี PLC ของครูที่เน้นจัดการเรียนรู้แบบ PBL ให้รางวัลและยกย่องครูที่จัด PBL ได้เก่ง
การศึกษา 21st Century